venice the city of love the most romantic place in the world

Posted on
All cities of the world are more or less similar to one another Venice is unlike any other
การเดินทางไปเวนิส สามารถเดินทางไปได้หลายทางมาดูกันว่าสะดวกแบบไหนกัน ทางรถไฟ  Trenitalia จากมิลาน นั้งรถไฟขบวน Eurostar city ESI จากสถานี Milano Centrale ถึงสถานี Venezia Santa Lucia ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 35 นาที มีรถออกทุก 1 ชั่วโมง หรือเดินทางจาก เวโรนา ใช้เวลาเดินทาง ราว 1 ชั่วโมง 10 นาที เดินทางจาก Florence ฟลอเรนซ์ นั่งรถไฟขบวน ESI Frecciargento จากสถานี S.M.N. ถึงสถานี Venezia Santa Lucia ใช้เวลาเดินทาง ราว 2 ชั่วโมง รถออกทุกหนึ่งชั่วโมง หรือจะนั้งจาก โบโลญญา ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 20 นาที นอกจากนี้ยังมีขบวนท้องถิ่นให้เลือกใช้บริการด้วย แต่จะใช้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ค่าโดยสารถูกกว่ามาก หากเดินทางมาจากเมืองอื่นๆ หรือประเทศอื่นควรตรวจสอบขบวนรถ ได้จาก www.trenitalia.com หรือ www.rail.ch ทางเครื่องบิน  เครื่องบินภายในประเทศและเที่ยวบินนานาชาติจะไปลงที่ สนามบินมาร์โคโปโล ซึ่งตั้งอยู่ห่างไปทางเหนือจากตัวเมื่องราว 8 กิโลเมตร ริมทะเลบนแผ่นดินใหญ๋ในเขตเตสเซรา จากสนามบินมีเรื่อเฟอร์รี่ Alilaguna  วิ่งตัดทะเลสาบมาส่งถึงท่าเรือใจกลางเมื่อง เวลาเดินทางราว 45 นาที หรือจะนั้งรถเมล์ไปลงยัง ปิอัซซ่าเลโรม่า Piazzale Roma ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟซานนาลูเวียก็ได้ ใช้เวลาเดินทางราว 30 นาที จากตรงนี้สามารถโดยสารเรื่อเมล์ไปยังจุดหมายอื่นๆ ได้อย่างสะดวก เพราะเป็นต้นทางของเรือเมล์หลายสายอีกทั้งมีที่พักให้เลื่อกอยู่มากพอสมควร

Paris is  an ideal place to become informed while Venice is place to think an write
♦♦♦ การเดินทางไป เวนิส หากเดินทางไปกับรถไฟ รถจะจอดที่สถานี Venezia Mestre บนแผ่นดินใหญ่ในเขตเมสแตราก่อน หากหาที่พักในเวนิสไม่ได้  ลองเลือกแถมนี้ดูราคาถูกว่าด้วย จากนั้นขบวนรถจะวิ่งต่อบนสะพานข้ามทะเลสาบเข้าจอดที่ชานชาลาปลายทางที่สถานี Venezia Santa Lucia จากตรงนี้ไปเลิกฝันถึงการนั้งรถโดยสารได้เลย วิธีที่จะเดินทางเที่ยวต่อ ถ้าไม่เลือกวิธีเดินก็ต้องนั่งเรือเท่านั้น เรือเมล์ หรือ วาปอเร็ตโต Vaporetto เป็นพาหนะขนส่งมวลชนหลักของเวนิส มีมากมายหลายสายเหมือนกันกับรถเมล์ไม่มีผิด เพี่ยงแต่วิ่งบนน้ำไปตามคลองสายต่างๆ เท่านั้น แต่สายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวก็มีไม่กี่สาย ซึ่งถือว่าเป็นสายหลักของนักท่องเที่ยวสาย 1 จากPiazzale Roma  ผ่านหน้าสถานีรถไฟ Ferrovia ล่องไปตามคลองกานาเลกันเด ซึ่งเป็นคลองสายหลัก โดยจอดทุกป้ายทั้งฝั่งซ้ายและขวาของคลอง และขอแนะนำให้นั้งสายนี้ชมเมืองเวนิสอาคารบ้านเรือน palazzo อันสวยงามแปลกตาเหมือนประหนึ่งเมืองในฝันในเทพนิยาย ไปจนถึงท่า San Marco  หรือจะนั้งเลยไปถึงเกาะลิโดก็ยังได้ก็มาเที่ยวนี้นาไม่รีบร้อนอะไรหรอก สายที่ 2 วิ่งเส้นทางเดียวกับสาย 1 แต่ไม่จอดทุกป้ายจึงทำให้การเดินทางเร็วกว่า ทั้งสาย 1 และสาย 2 จะมีท่าของตัวเองต่างหากแยกจากกัน แท็กซี่น้ำ Water taxi เป็นเรือขนาดเล็กนั้งได้ราว 4 คนค่าโดยสารค่อนข้างแพงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว♦

Venice is the most romantic place in the world 
♦♦♦ เรือกอนโดล่า Gondola Tranghetto ลักษณะเหมือนเรือกอนโดล่าแต่การตกแต่งน้อยกว่าใช้สำหรับข้ามฟากไปมาระหว่างสองฝั่งคลองใหญ่แกรนด์คาแนล เนื่องจากตลอดความยาวของคลอง 3.8 กิโลเมตร มีสะพานใหญ่ให้คนเดินข้ามไปมาเพียง สามแห่งเท่านั้นดังนั้นจึงมีเรือข้ามฟากตั้งอยู่ริมสองผั่งคลองเป็นระยะๆ เพิ่มความสะดวกให้ผู้ที่ต้องการข้ามฟากไปมาได้ง่ายขึ้น เอาละทีนี้มาเริ่มตั้งต้นกันเลย มาถึงสถานีรถไฟ  Venezia Santa Lucia  แล้วก็หาซื้อบัตรโดยสารเรือเมล์ให้เรียบร้อยแล้วไปรอขึ้นเรือสาย 1 หรือสาย 2 ได้ที่ท่าเรือ Ferroviva ซึ่งตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟนั่นเอง ถ้านั่งรถโดยสารหรือขับรถมาก็ให้เริ่มต้นจากท่า Piazzale Roma  เรือจะแล่นลอดผ่านสะพานแรกที่ทอดข้ามคลองแกรนด์คาแนลชี่อ ปอนเต เดลญี สกัลซี Ponte delgli Scalzi สะพานสร้างด้วยหินอิสเตรียน ขนาดความยาว 40 เมตร จุดสูงสุดทอดโค้งอยู่หนือพื้นน้ำราว 7 เมตร จึงเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์เหนือแกรนด์คาแนลได้เป็นอย่างดี ทั้งสองด้าน มองออกไปจะเห็นตึกรามบ้านช่องวังหรือ Palazzo หรูหราสวยงามอลังการ♦

Venice is the perfect place for a phase of art to die 
♦♦♦ ยอดโดมของโบสถ์กับเรือต่างๆ สัญจรไปมาอย่างขวักไขว่มีชีวิตยังไงก็ยังเหมือนเมืองแห่งเทพนิยายเมืองในฝันมันสวยงามเหลือเกิน และหากคิดจะเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ก็ให้เริ่มต้นจากสะพานนี้แล้วมุ่งหน้าไปทางตะวันออก เรื่อยๆ สังเกตุป้ายบอกทางที่ติดอยู่ตามมุมตึก ซี่งเป็นวิธีเดียวที่จะเดินไปถึงสะพานรีอัลโต กับจัตุรัสซานมาร์โค ได้อย่างไม่หลง หากเดินถูกทางและไม่แวะที่ไหนก่อนใช้เวลาในเส้นทางนี้ราว ไม่เกิน 1 ชั่วโมง ท่าเรือแรกที่เรื่อเมล์จะจอดคือ Riva de biasio ซึ่งอยู่บนฝั่งขวาหากเดินลัดเลาะลงมาทางตะวันออกเฉียงใต้ก็จะถึง กัมโปหรือจัตุรัสซานซัน เดโกละ Campo San Zan Degola  ในเวนิสมักเรียกปิอัซซ่าหรือจัตุรัสต่างว่ากัมโป มีโบสถ์ที่สร้างอุทิศให้กับเซ็นต์จอห์น หรือ ซานโจวันนี เดกอลลาโต ที่ถูกตัดศีรษะ ภายในมีภาพผนังเฟรสโกให้ชม แต่หากเดินลงไปทางใต้อีกหน่อยก็จะถึง กัมโปซานจากาโม เดลโลรีโอ Campo San Giacomo dell Orio เป็นจัตุรัสที่ดูร่มรื่นด้วยสนามหญ้่า ต้นไม้สูงและม้านั้งยาวให้พักผ่อน รายล้อมด้วยปาลัซโซ อันเป็นที่ตั้งของคณะสถาปัตยกรรม ของมหาวิทยาลัยเวนิส กลางจัตุรัสมีโบสถ์ ซานจากาโมเดลโลรีโอ สร้างในสศตวรรษที่ 9  รูปทรงไม้กางเขนลาติน ของตกแต่งหลายชิ้นเป็นของที่ปล้นมาจาก กรุงคอนสแตนติโนเปิลในช่วงสงครามคูเสด นอกนั้นก็มีผลงานศิลปะของศิลปินเวเนเซียนให้ได้ชม♦

Love is blind and lovers cannot see the pretty follies that they themselves commit
♦♦♦ ท่าต่อมาที่เรือจอดก็คือ S. Marcuola ฝั่งซ้ายตรงข้ามกัมโปซานมาร์คูโอล่า ติดๆ กันที่ท่าเรือกอนโดล่าข้ามฝาก  ใกล้ๆ กันมีบ่อยคาสิโน Casino Municipale ตั้งอยู่ในปาลัสโซ เวนดรามิน กาแลร์จี  Vendramin Carlergi วังจากยุคเรอเนสซองซ์ที่แสนหรูหรางดงาม ผลงานของสถาปนิกลอมบาร์โดและโกดุชชี เคยเป็นบ้านพักของตระกูลขุนนางและพ่อค้าชาวครีต  และเป็นสถานที่ซึ่ง ริชาร์ด วาร์กเนอร์ คีตกวีชาวเยอรมันสิ้นชีวิตในปี 1883 ท่าต่อมาบนฝั่งขวาคือท่าซานสตาเอ้ San Stae ตั้งอยู่ตรงกัมโปชื่อเดียวกันกับท่าเรือ เดินมาอีกหน่อยก็จะถึง ท่าลัซโซเปซาโร  Palazzo Pesaro วังสไตล์บารอคอันเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่  Ca Pesaro Galleria D Srte Mderna  จัดแสดงงานศิลปินเอกของยุโรปในศตวรรษที่ 19-20  เช่น มาร์ก ชาร์กัลล์ กุสตาฟ คลิมต์  ติดกับท่าคาโดโร  Ca d Oro บนฝั่งขวาในเขตกันนาเรโจ  Canaregio  เป็นที่่ตั้งของปาลัซโซคาโดฎร วังแบบโกธิกที่สวยงามด้วยลวดลายฉลุบนหน้าต่าง และลวดลายอันวิจิตร  ของเสาหินกับระเบียง เมื่อแรกสร้าง มีการนำแผ่นทองมาห่มไว้จนมีผู้เรียกวังแห่งนี้ว่า วังสีทอง  ปัจจุบันเป็นหอศิลป์ผรานเกตตี  เก็บรวบรวมผลงานจิตกรรม ประติมากรรม เหรียญตราและเครื่องเซรามิกที่บารอนจอร์โจฟรานเกตตี บริจาคให้เป็นสมบัติของเมืองเมื่อปี 1916 ไว้ต่อ ตอน 3♦
♦♦♦♦♦♦

in life it is not where you go, it is who you travel with.